ผู้ยื่นคำขอวีซ่านักลงทุน E1 จะต้องมีส่วนร่วมในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ การค้าหมายถึงการซื้อและการขายสินค้า การค้าจะต้องเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐและประเทศสนธิสัญญาก่อนที่จะยื่นขอวีซ่านักลงทุน E1
ผู้ยื่นคำขอวีซ่านักลงทุน E1 จะต้องซื้อธุรกิจที่มีอยู่หรือจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่โดยวางเงินและสินทรัพย์ไว้ในชื่อของบริษัท ผู้ยื่นคำขอวีซ่าควรต้องจัดเตรียมเงินลงทุนประมาณ US $75,000 หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ไม่ได้มีการระบุจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องลงทุน จำนวนเงินลงทุนที่แท้จริงของผู้ยื่นคำขอวีซ่าจะขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ ดังนั้นทางสถานทูตสหรัฐอเมริกาหรือ USCIS จะตรวจสอบคำขอแต่ละคำขอเป็นกรณี ๆไป
ผู้ยื่นคำขอวีซ่านักลงทุน E1 จะต้องลงเงินทุนที่เพิกถอนไม่ได้และโดยปกติแล้วควรจะต้องแสดงหลักฐานของธนาคารที่แสดงการโอนเงินมาจากประเทศสนธิสัญญาต่างประเทศ นอกจากนี้เงินทุนของผู้ยื่นคำขอวีซ่าควรต้องอยู่ในสถานะความเสี่ยงที่จะสูญ (risk of loss) ซึ่งหมายความว่าการโอนเงินไปยังธนาคารสหรัฐเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอ ผู้ยื่นคำขอจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนเช่น การวางมัดจำการเช่า การซื้อสถานที่ประกอบธุรกิจ การซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นและการซื้อสินค้าคงคลัง
ผู้ยื่นคำขอวีซ่านักลงทุน E1 จะต้องเป็นผู้ควบคุมบริษัทผ่านการเป็นเจ้าของอย่างน้อย 50% หรืออยู่ในตำแหน่งผู้บริหารจัดการ ธุรกิจจะต้องสร้างรายได้ที่เพียงพอที่จะสนับสนุนผู้ยื่นคำขอวีซ่านักลงทุน E1 และครอบครัวของพวกเขาในสหรัฐ อย่างไรก็ตามธุรกิจของผู้ยื่นคำขอวีซ่านักลงทุน E1 จะต้องมีการจ้างหรือสร้างงานให้กับพลเมืองสหรัฐหรือผู้ถือกรีนการ์ด
หากผู้ยื่นคำขอวีซ่าไม่ได้เป็นนักลงทุน E1 พวกเขาจะต้องเป็นผู้บริหารของบริษัทหรือมีทักษะพิเศษเฉพาะในการทำงานซึ่งจำเป็นต่อการดำเนินงาน นักลงทุน E1 จะต้องรักษาการดำเนินธุรกิจเพื่อต่ออายุวีซ่านักลงทุน E1 ในอนาคต
นักลงทุน E1 อาจไปพร้อมกับหรือมีผู้ติดตามเป็นคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่ได้สมรสที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปี โดยสมาชิกครอบครัวดังกล่าวอาจยื่นขอเป็นวีซ่า E1 และจะได้รับอนุญาตให้อยู่ในสหรัฐได้ในระยะเวลาเท่ากับนักลงทุน E1 คู่สมรสของนักลงทุน E1 สามารถยื่นขออนุญาตทำงานได้และไม่มีข้อจำกัดเฉพาะในสถานที่ทำงานของคู่สมรส E1
รายชื่อประเทศในปัจจุบันของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่พลเมืองของตนสามารถยื่นขอวีซ่านักลงทุน E1 สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซด์